อช.ตาดหมอก บ้านหลังใหญ่ของนกเงือก (Hornbill) ถึง 4 ชนิด สัญลักษณ์ความสมบูรณ์ของผืนป่า
ในวันบรรยากาศดีๆ จะพาไปชมนกชมไม้ ในอุทยานแห่งชาติตาดหมอก จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 87 ของประเทศไทย ประกาศจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2541 มีเนื้อที่ 181,250 ไร่ เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มป่าภูเขียว-น้ำหนาว หรือ "ผืนป่าอีสานตะวันตก" (The Western Isan Forest Complex : WIFC) ทิศเหนือมีอาณาเขตติดต่อกับอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง ทิศใต้ติดต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตะเบาะ-ห้วยใหญ่ ทิศตะวันออกติดต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว และทิศใต้ติดต่อกับป่าสงวนแห่งชาติตะเบาะ-ห้วยใหญ่ ซึ่งเป็นผืนป่าเชื่อมต่อและมีความหลากหลายด้านทรัพยากรธรรมชาติ
หนึ่งในสัตว์ป่าสวยงามโดดเด่นที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ นกเงือก (Hornbill) สำหรับประเทศไทยมีนกเงือก 13 ชนิด ในจำนวนนี้ในอุทยานแห่งชาติตาดหมอกเป็นถิ่นอาศัยของนกเงือกถึง 4 ชนิดด้วยกัน ประกอบด้วย "นกกก" "นกเงือกสีน้ำตาล" "นกแก๊ก" และ "นกเงือกกรามช้าง"
อีกทั้ง นกเงือกยังมีบทบาทที่สำคัญในระบบนิเวศทางธรรมชาติ จนได้รับฉายา "นักปลูกป่า" จากพฤติกรรมการกินผลไม้ที่หลากหลาย โดยจะสำรอกเมล็ดผลไม้ทิ้งหรือถ่ายเมล็ดออกมา ชีวิตของนกเงือกต้องขึ้นอยู่กับป่าที่สมบูรณ์ มีต้นไม้ใหญ่ที่มีโพรงให้ทำรัง มีแหล่งอาหารที่เพียงพอ จึงอาจใช้เป็นตัวบ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้ นอกจากนี้ ลักษณะพฤติกรรมการใช้ชีวิตของนกเงือกเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียวไปตลอดชีวิต นกเงือกจึงเป็นตัวแทนของความรักแท้ที่มั่นคง

ชื่อวิทยาศาสตร์: Buceros bicornis
ขนาด : 130-150 ซม.
ตัวผู้ : มีม่านตาสีแดง และโหนกมีสีดำทางด้านหน้าและด้านหลัง
ตัวเมีย : ม่านตาสีขาว ไม่มีสีดำบริเวณโหนก
ข้อจำกัดหลายอย่างทำให้พวกมันเพิ่มประชากรได้น้อย หากป่าไม่อุดมสมบูรณ์และนกเงือกยังตกเป็นเป้าหมายของการล่าอยู่ ก็คงไม่แคล้วที่จะต้องสูญพันธุ์ไป

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ptilolaemus tickelli
ขนาด : 74 ซม.
ตัวผู้ : ขนคอและอกสีน้ำตาลแดง ปากสีน้ำตาล
ตัวเมีย : สีน้ำตาลดำ ปากสีดำ
ความพิเศษของนกเงือกสีน้ำตาล คือ เป็นนกเงือกที่มี "ผู้ช่วยเลี้ยง" กล่าวคือ ลูกนกตัวผู้รุ่นแรกของครอบครัวหรือนกเงือกสีน้ำตาลตัวผู้ที่ยังไม่มีคู่ผสมพันธ์ุ จะคอยช่วยเหลือพ่อนกหาอาหารเลี้ยงดูแม่และลูก กระทั่งย่างเข้าฤดูฝน ลูกนกเงือกเติบโตพอที่จะโผบินออกสู่โลกภายนอกพร้อมครอบครัว และเรียนรู้การเป็นนกเงือกหาอาหารต่อไป

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Anthracoceros albirostris
ขนาด : 70-80 ซม.
ตัวผู้ : ปากและโหนกสีงาช้าง หน้าและโหนกมีสีดำ
ตัวเมีย : ปากและโหนกมีสีดำแต้ม
พวกเขาสามารถปรับตัวได้ดีทำให้มีประชากรมากที่สุด พวกมันชอบโหวกเหวกโวยวาย จึงเป็นที่มาของชื่อ มันมักจะร้อง “แก๊ก แก๊ก แก๊ก” เสียงดังลั่น ก่อนที่เราจะเห็นตัวเสียอีก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rhyticeros undulatus
ขนาด : 100-110 ซม.
ตัวผู้ : หน้าและคอสีขาว กระหม่อมถึงท้ายทอยสีน้ำตาลเข้มถุงใต้คอสีเหลืองมีขีดสีดำ
ตัวเมีย: หัว คอ สีดำ ถุงใต้คอสีฟ้ามีขีดสีดำ
พวกเขาจะทำรังงวางไข่ในโพรงรังที่เป็นไม้ยืนต้นลักษณะขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ในป่าที่้ต้องมีความอุดมสมบูรณ์ นั่นคือความเปราะบางของเหล่านกเงือกซึ่งหมายถึงหากป่าถูกบุกรุกทำลาย พวกเขาก็จะไม่มีที่อยู่ และต้องลาจากไปในที่สุด
อ้างอิงข้อมูล : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร https://www.seub.or.th/.../%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%80.../